โลกแห่งการลงทุนไม่ว่าจะเป็นลงทุนใน Megatrend (เมกะเทรนด์) หรือลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ไม่เคยปิดโอกาสสำหรับผู้ที่มีเงินทุนน้อย เพราะจำนวนเงินมีความสำคัญน้อยกว่าการวางแผนการลงทุน คำว่า “ให้เงินทำงาน” สามารถใช้ได้ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากหรือน้อย ดังนั้นหากคุณต้องการเริ่มต้นเป็นนักลงทุนแต่มีเงินน้อย คุณสามารถแก้ข้อจำกัดนี้ได้ด้วยการวางแผนการลงทุนล่วงหน้า ศึกษาหาข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ที่ต้องการลงทุน และที่สำคัญคือจะต้องมีความอดทน เพื่อเฝ้ารอให้ผลจากการลงทุนค่อย ๆ เติบโต ซึ่งในบทความนี้เราได้นำวิธีการลงทุนตามเทรนด์มาให้ทุกท่านได้ร่วมพิจารณา

เริ่มต้นลงทุนเพื่อความสำเร็จกับ Megatrend ต้องเข้าใจเทรนด์ 

เพื่อให้การลงทุนของผู้ที่มีเงินทุนน้อย สามารถต่อยอดสร้างกำไร และพอร์ตการลงทุนก็เป็นไปอย่างราบรื่น ก่อนเริ่มลงทุนนักลงทุนควรมองหา “แนวโน้ม” หรือ “เทรนด์” ที่กำลังอยู่ในความนิยมก่อน จากนั้นจึงเข้าร่วมการลงทุน และหมั่นตรวจสอบว่าเทรนด์นั้น ๆ ใกล้จะเสื่อมความนิยมหรือยัง เพื่อการวางแผนการลงทุนขั้นต่อไป

ซึ่งถ้าหากเทรนด์นั้น ๆ เป็น Megatrend ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้คุณทำกำไรได้ไม่ยาก เพราะเมกะเทรนด์คือแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในระดับประเทศไปจนถึงระดับโลก อธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า เทรนด์ที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ที่ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันมีความเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง เช่น เมกะเทรนด์ด้านไอที ที่ต้อนรับการมาถึงของ Web 3.0 ยุคใหม่ของอินเทอร์เน็ต ที่มีความฉลาดและมีความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น เป็นต้น 

Megatrend

และด้วยเมกะเทรนด์ คือ เทรนด์ที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การลงทุนในเมกะเทรนด์จึงมีความผันผวนสูง และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โอกาสในการเข้าทำกำไรจึงสามารถทำได้ง่าย แต่นักลงทุนควรระวังและติดตามข่าวสารให้ดี เพราะการลงทุนในตลาดที่มีความผันผวนสูง ความเสี่ยงในการขาดทุนย่อมมีอยู่สูงด้วยเช่นกัน และด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมานี้ จึงสรุปได้ว่า ถึงแม้คุณจะมีเงินลงทุนน้อย แต่ถ้ามีกลยุทธ์ในการลงทุน และเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง โอกาสที่เงินลงทุนจะงอกเงยขึ้นเป็นผลกำไร ก็สามารถเกิดขึ้นได้

ก้าวทัน Megatrend เพื่อการลงทุนที่คุ้มค่า มีเงินน้อยก็สามารถทำกำไรได้

เทคนิคการลงทุนใน Megatrend นักลงทุนต้องทราบว่า “เทรนด์” เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว จะต้องมีวันที่เสื่อมความนิยมลงไป ดังนั้นการติดตามอัปเดตเมกะเทรนด์ในแต่ละปี คือ สิ่งที่ควรทำ เพราะจะช่วยให้ทราบได้ทันทีว่า เทรนด์ที่กำลังลงทุนอยู่นั้นใกล้เสื่อมความนิยมหรือยัง รวมไปถึงอัปเดตเทรนด์ที่กำลังจะเข้ามาใหม่ด้วยว่ามีอะไรบ้าง เพื่อให้นักลงทุนสามารถนำไปศึกษาและวางแผนการลงทุนล่วงหน้าได้อย่างเท่าทัน 

ยกตัวอย่างเมกะเทรนด์ในปี 2022 เช่น การมาถึงของสังคมผู้สูงอายุ, การสนับสนุนใช้พลังงานสะอาด, ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ และวิถีชีวิตแบบใหม่ที่มีเทคโนโลยีรายล้อมอยู่รอบตัว เป็นต้น และเมื่อผ่านปี 2022 ไป เข้าสู่ปี 2023 เมกะเทรนด์ที่ผลัดเปลี่ยนเข้ามาได้แก่

  1. การใช้งาน AI Artificial Intelligence (AI) ได้ถูกพัฒนาให้มีความฉลาดมากขึ้น สามารถโต้ตอบและให้ข้อมูลสำคัญที่กำลังค้นหาได้ AI จึงเปรียบได้ดังผู้ช่วยส่วนตัวที่สามารถทำงานแบบอัตโนมัติได้หลากหลาย เช่น การเก็บข้อมูลและแบ่งประเภทลูกค้า, การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก, การใช้ AI วาดภาพหรือสร้างภาพขึ้นมาใหม่ และการประมวลผลเพื่อออกแบบคอนเทนต์ต่าง ๆ เป็นต้น 
  2. Web 3.0 หรือ Future Internet ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป็นเครื่องมือที่จะสร้าง Metaverse โลกเสมือนผ่านเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) ที่จะช่วยทำให้สิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในโลกจริง เข้าไปอยู่ในโลกเสมือน อีกทั้งยังสนับสนุนให้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Machine Learning, Artificial Intelligence และ Blockchain ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น 
  3. ธุรกิจ Healthcare เป็น Megatrend ที่ส่งไม้ต่อมาจากปี 2022 ที่เราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เมื่อมาถึงปี 2023 ธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพจึงกลายเป็นเมกะเทรนด์ใหม่ที่ตามมา เพื่อรองรับจำนวนผู้สูงอายุ และช่วยเหลือให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตและคุณภาพจิตใจที่ดีขึ้น
  4. พลังงานสะอาด เป็นเทรนด์ที่ต่อเนื่องมาจากปี 2022 เช่นเดียวกัน โดยมีการคาดการณ์ว่า เทรนด์นี้จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ใน 10-20 ปีข้างหน้านี้เลยทีเดียว เพราะสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อน พลังงานสะอาดจึงเป็นพลังงานที่คนทั้งโลกต้องการ

การลงทุนใน Megatrend ทุนมากหรือน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่ดังที่ได้กล่าวไป ซึ่งนักลงทุนจะเห็นได้ว่า การติดตามเทรนด์ และการอัปเดตข่าวสารมีค่ามากกว่าเงินลงทุน เพราะเทรนด์คือแนวโน้มที่ไม่แน่นอน บางอย่างเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปอย่างรวดเร็ว แต่บางอย่างจะอยู่กับเราไปอีก 10 ปีข้างหน้า ดังนั้นเงินทุนน้อยสามารถเริ่มต้นลงทุนในเมกะเทรนด์ได้อย่างแน่นอน แต่จะทำกำไรได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของนักลงทุนแต่ละคน ว่าจะสามารถจัดพอร์ตการลงทุนได้เหมาะสมหรือไม่ เข้าใจสินทรัพย์ที่กำลังลงทุนอยู่หรือเปล่า และมีความอดทนมากพอที่จะเฝ้ารอให้กำไรงอกเงยมากน้อยขนาดไหน

Tags: